17 เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับกาแฟ ที่คุณอาจคุณอาจไม่เคยรู้ ประชากรคนเรา มีจำนวน 6 พันล้านคนบนโลก เราดื่มกาแฟวันละ 3 พันตันต่อวัน ประเทศอเมริกา เป็นประเทศที่ดื่มกาแฟกันเยอะที่สุด และนับตั้งแต่ ปี พ.ศ. 2558 เป็นต้นมา ทุก ๆ วันที่ 1 ตุลาคม ถูกจัดตั้งให้เป็น “ International Coffee Day หรือ วันกาแฟสากล ” โดย International Coffee Organization เป็นการเฉลิมฉลองให้กับเกษตรกร ผู้ปลูกต้นกาแฟ และผู้รักการดื่มกาแฟ ทั่วโลก ซึ่งทุกวันนี้ “ กาแฟ ” เป็น 1 ใน 3 ของ เครื่องดื่ม ที่ผู้คนนิยมดื่มกันมากที่สุด
ในวันนี้เรามาทำความรู้จักกับกาแฟเพิ่มกันกับ 17 เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับกาแฟ ที่คุณอาจคุณอาจไม่เคยรู้
- Coffee หรือ กาแฟ เดิมมาจากภาษาเตอร์กิช (ภาษาตุรกี) และอาจมีความเกี่ยวข้องกับคำว่า “ Kaffe ” ซึ่งเป็นชื่อเรียกบริเวณพื้นที่แห่งหนึ่ง ในประเทศเอธิโอเปีย ที่มีการค้นพบกาแฟเป็นแห่งแรกของโลก
- มากกว่า 60 ประเทศทั่วโลก มีการปลูกกาแฟ เป็นพืชเศรษฐกิจ และในปัจจุบัน มีผู้คนกว่า 25 ล้านคนทั่วโลก ปลูกกาแฟยังชีพ
- กาแฟ เป็นสินค้าอันดับ 2 ที่มีการซื้อขายในตลาดโลก รองลงมาจากน้ำมันปิโตรเลียม
- ต้นกาแฟ เป็นพืชตระกูลเดียวกับไม้จำพวกพุดจีน ซึ่งเป็นพุ่มไม้สีเขียว ที่พบอยู่ทั่วไปในสวน
- ต้นกาแฟ จะถูกดูแลให้มีความสูงตั้งแต่ 9 เมตร แต่ไม่เกิน 12 เมตร เพื่อให้ได้ผลผลิตที่สูง และง่ายต่อการเก็บเกี่ยว
- โดยเฉลี่ย ต้นกาแฟหนึ่งต้น ในแต่ละฤดูกาล สามารถผลิตเป็นกาแฟคั่วได้ 450 – 680 กรัม
- ผลกาแฟ ประมาณ 2.27 กิโลกรัม นำมาทำเป็นกาแฟสดได้ 0.45 กิโลกรัม
- กาแฟ มีหลากหลายสายพันธุ์ แต่มี 2 สายพันธุ์ ที่คนนิยมเพาะปลูก และนิยมดื่ม คือ กาแฟพันธุ์อาราบิก้า และกาแฟพันธุ์โรบัสต้า
- กาแฟพันธุ์โรบัสต้านั้น เป็นกาแฟคุณภาพรองลงมา มักจะใช้สำหรับการผลิตกาแฟสำเร็จรูป ส่วนกาแฟพันธุ์อาราบิก้า ได้รับการยอมรับว่า เป็นกาแฟคุณภาพดี มีรสชาติที่กลมกล่อมมากกว่า และยังมีปริมาณคาเฟอีนน้อย เพียงแค่ 1 % เท่านั้น
- ประเทศเอธิโอเปีย และแถบคาบสมุทรอาระเบีย มีต้นกาแฟ เป็นพืชท้องถิ่น แต่ชาวดัชเป็นคนนำต้นกาแฟไปปลูกที่ประเทศอินโดนีเซีย ต้นกาแฟจึงกระจายไปทั่วโลก
- โดยทั่วไปแล้ว ต้นกาแฟจะออกดอกแค่ปีละครั้ง ดอกของต้นกาแฟจะมีกลิ่นหอมอ่อน ๆ เหมือนกับดอกมะลิที่ร่วง ผลของต้นกาแฟ คล้าย ๆ กับลูกเชอร์รี่ ลูกเล็ก ๆ ขึ้นมาแทนดอกที่ร่วงจากต้น และกลายเป็นผลกาแฟ สีแดง และสุกเต็มที่ รวมระยะเวลาตั้งแต่ออกดอกจนถึงการเก็บเกี่ยว ใช้เวลารวมประมาณ 9 เดือน
- ภูมิประเทศ ที่เหมาะสมกับการปลูกกาแฟพันธุ์อาราบิก้ามากที่สุด คือ บริเวณที่มีพื้นที่ระดับสูง แถบเส้นศูนย์สูตร การที่เพาะปลูกกาแฟที่ระดับของสูงระหว่าง 600 – 1800 เมตร จากระดับน้ำทะเลนั้น จะทำให้เมล็ดของต้นกาแฟสุกช้า ค่อย ๆ สุก จนกลายเป็นเมล็ดที่มีคุณภาพ และให้รสชาติที่กลมกล่อมกว่า
- หลายประเทศทั่วโลก มีการปลูกกาแฟอาราบิก้าเป็นจำนวนมากมายมาหาศาล สามารถพบการผสมระหว่างอาราบิก้าสายพันธุ์แบบดั้งเดิม และสายพันธุ์ผสม เกือบทุกพื้นที่ ที่มีการปลูกต้นกาแฟ
- บริเวณพื้นที่ ที่ปลูกกาแฟส่วนใหญ่ มักจะอยู่ระหว่างเส้นศูนย์สูตร ที่ 23 องศา 27 ลิปดาเหนือ และใต้ มีชื่อที่เรียกกันอีกอย่างว่า “ Tropic of Cancer ” และ “ Tropic of Capricorn ” ซึ่งครอบคลุมพื้นที่ในแถบแอฟริกา อราเบีย ลาตินอเมริกา และหมู่เกาะแปซิฟิก
- บริเวณที่ปลูกกาแฟในแต่ละที่ มีลักษณะภูมิประเทศที่ต่างกัน ทั้ง ระดับความสูงของบริเวณที่ปลูก ภูมิอากาศ รวมทั้งวิธีการเพาะปลูก ที่แตกต่างกัน กาแฟที่เป็นผลผลิต จากแต่ละภูมิภาค จึงมีลักษณะเฉพาะตัว ที่ไม่เหมือนกัน เพราะฉะนั้น ภูมิศาสตร์ เป็นปัจจัยสำคัญ ที่สร้างสรรค์รสชาติกาแฟแต่ละชนิด ให้มีความหลากหลาย
กาแฟ จากแต่ละภูมิภาค จะมีลักษณะโดดเด่น ดังนี้
- ลาตินอเมริกา จะเป็นกาแฟที่ให้รสชาติที่กลมกล่อมของกาแฟแท้ ๆ มีรสชาติของโกโก้ หรือถั่ว รวมถึงให้ความสดชื่น กระปรี้กระเปร่า
- แอฟริกา และอาราเบีย เป็นกาแฟที่มีหลากหลายรสชาติ ตั้งแต่รสของเบอร์รี่ เครื่องเทศ กลิ่นหอมของมะนาว เกรปฟรุ๊ต ที่มีความโดดเด่น เฉพาะตัว
- หมู่เกาะเอเชีย และแปซิฟิก กาแฟจะมีกลิ่นที่เป็นธรรมชาติ มีบอดี้ที่หนักกว่ากาแฟตากที่อื่น ส่วนกาแฟที่มาจากแถบหมู่เกาะอินโดนีเซีย มักจะมีกลิ่นเจือเครื่องเทศ และสมุนไพรจาง ๆ
- กาแฟเบลนด์ เป็นกาแฟที่ผานการคัดสรรเมล็ดกาแฟ ที่มีคุณภาพจากหลายภูมิภาคมาผสมผสานกัน เพื่อแสวงหากาแฟ ที่มีผลลัพธ์ที่ดี ทั้งเรื่องกลิ่น และรสชาติ
- ชาวไร่กาแฟ เรียกผลจากต้นกาแฟ ว่า “ ผลเชอร์รี่ ” และต้นกาแฟเจริญเติบโตได้ดี ในพื้นที่แถบเส้นศูนย์สูตร Tropic of Cancer และ Tropic of Capricorn
- วิธีผลิตกาแฟ ประกอบด้วย “ กรรมวิธีการล้าง (แบบเปียก) ” ผลกาแฟที่สุกแล้ว จะถูกเด็ด และนำไปยังพื้นที่การผลิตอย่างรวดเร็ว เรียกว่า “ โรงสีเปียก (ภาษาสเปนเรียกว่า Beneficio)” ผลกาแฟจะถูกนำไปยังถังเก็บ ซึ่งใช้แรงโน้มถ่วง และน้ำ เพื่อช่วยในการคัดเลือกกาแฟในขั้นแรก
จากนั้น เมล็ดกาแฟจะถูกนำไปยังถังหมัก และหมักอยู้ในถัง 18 ถึง 48 ชั่วโมง ซึ่งขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นปัจจัยด้ายภูมิอากาศ ความสูง แลัธรรมเนียมปฏิบัติ ในระหว่างการหมัก จะเกิดปฏิกิริยาการย่อยสลาย ซึ่งจะทำให้เยื่อหุ้มเมล็ดกาแฟหลุดออก ทำให้ช่วยดึงกลิ่น และะรสชาติที่สดชื่น มีชีวิตชีวาของกาแฟออกมา
เมื่อผ่านกระบวนการหมัก และผ่านการล้างขั้นสุดท้ายแล้ว จะเข้าสู่ขั้นตอน “ การทำให้แห้ง ” โดยเมล็ดกาแฟ จะถูกตากแห้่ง โดยจะวางไว้บนลาน หรือถูกทำให้แห้งด้วยเครื่องเป่า
- กรรมวิธีการตากแห้งที่ลาน จะต้องใช้คราดในการไถกาแฟ ซึ่งมีแผ่นหุ้มอยู่ เพื่อให้เมล็ดกาแฟทุกเม็ด แห้งเท่ากัน โดยใช้เวลา ตั้งแต่ 3 วัน ไปจนถึง 1 สัปดาห์ ขึ้นอยู่กับสภาพอากาศ
- กรรมวิธีการใช้เครื่องเป่า จะใส่กาแฟลงไปในเครื่องเป่าทรงกระบอก โดยใช้ความร้อน เพื่อทำให้แห้ง โดยวิธีนี้ จะทำให้แห้งเร็วกว่าการตากแห้งบนลาน แต่ต้องดูแล และระมัดระวังอย่างดี เพื่อไม่ให้เมล็ดกาแฟเสียหาย
หลังจากที่คุณได้อ่าน 17 เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับกาแฟ ที่คุณอาจคุณอาจไม่เคยรู้ นอกจากนี้แล้ว กาแฟยังมีประโยชน์ทางด้านสุขภาพ เพราะกาแฟมีส่วนช่วยลดโรค ได้แก่ เบาหวาน หัวใจ และพาร์คินสัน อีกทั้งช่วยลดอาการปวดหัวได้อีกด้วย และจากผลการวิจัย พบว่า กาแฟ ช่วยเพิ่มสมาธิ ลดความเหนื่อยล้า แถมยังเพิ่มความทรงจำ นี่จึงเป็นสาเหตุที่ว่า เรามักจะชงกาแฟมาดื่มกัน ในขณะที่เราต้องทำงาน หรือเริ่มต้นวันใหม่