การบดเมล็ดกาแฟ มีหลากหลายระดับ ซึ่งขั้นตอนที่สำคัญนี้ ส่งผลต่อรสชาติของกาแฟแต่ละถ้วย การบดเมล็ดกาแฟ ต้องบดให้ละเอียดระดับไหน จึงจะเหมาะกับการชงในแต่ละวิธี และมีรสชาติต่างกันอย่างไร มาดูกัน

ขั้นตอนการทำกาแฟแต่ละขั้นตอน เต็มไปด้วยรายละเอียด และความพิถีพิถัน ตั้งแต่การคัดเลือกเมล็ดกาแฟ และสายพันธุ์ของกาแฟ ก็มีให้เราเลือกมากมายนับถ้วน กว่าจะเจอรสชาติที่ชอบ ก็ต้องใช้ระยะเวลาระดับนึงเลยทีเดียว นอกจากนั้นก็ยังมีหลากหลายรูปแบบอีกด้วย 

ถ้าหากเราไม่ได้ซื้อเมล็ดกาแฟแบบคั่วมาแล้ว ก็ต้องนำมาคั่วเอง ซึ่งรูปแบบการคั่ว ขั้นตอน วิธีการคั่ว ระยะเวลา รวมทั้งอุณหภูมิ ทุกอย่างล้วนส่งผลต่อรสชาติของกาแฟ ทำให้กาแฟมีรสชาติที่แตกต่างกันออกไปอีกด้วย เรียกได้ว่า ทุกปัจจัย ล้วนส่งผลต่อรสชาติของกาแฟทั้งนั้น 

หลังจากนั้นแล้ว ก็ต้องนำเมล็ดกาแฟที่คั่วแล้ว มาบดให้ละเอียดตามความต้องการ ใครหลาย ๆ คนอาจจะคิดว่า การบดเมล็ดกาแฟนั้น ไม่ได้มีความสำคัญอะไรมากมาย เพราะมันก็แค่การบดเมล็ดกาแฟ เพื่อนำไปชงเท่านั้น ซึ่งความจริงแล้ว การบดเมล็ดกาแฟ ก็มีความสำคัญต่อการชงกาแฟเช่นเดียวกัน เพราะว่า เป็นตัวแปรสำคัญ ที่จะส่งผลต่อรสชาติ รวมถึงกลิ่นของกาแฟอีกด้วย 

ยกตัวอย่าง แบบที่เห็นได้ชัดก็คือ หากเราบดกาแฟละเอียด ก็จะทำให้รสชาติที่สกัดออกมามีความเข้มข้น มากกว่าการบดกาแฟแบบหยาบ แม้จะใช้เวลาน้อย ส่วนการบดแบบหยาบนั้น ก็จะใช้เวลาในการสกัดนานขึ้น 

วันนี้เราจะมาดูกันว่า การบดเมล็ดกาแฟ มีกี่ระดับ และแต่ละระดับ เหมาะกับการชงแบบไหนบ้าง

  1. การบดระดับหยาบ หรือ Coarse grind

การบดระดับนี้ กาแฟที่ได้ จะมีลักษณะเป็นเม็ดใหญ่ มีความเป็นเมล็ดแข็งอยู่ เป็นการบดแบบหยาบที่สุด เวลาจับจะให้ความรู้สึกเหมือนดอกเกลือ หรือกรวดทราย ซึ่งจะเหมาะกับ การชงกาแบบเฟรนส์เพรส (French Press) เพราะเป็นการชงกาแฟ แบบแช่ผงกาแฟในน้ำร้อนเป็นระยะเวลานาน ผงกาแฟที่ใช้ จึงต้องมีความหยาบ เพื่อป้องกันไม่ให้ผงกาแฟลอดจากแผ่นกรองได้ และเพราะการสกัดตัวช้า จะไม่เกิดการสกัดตัวที่มากจนเกินไป และยังเหมาะกับ การชงกาแฟแบบสกัดเย็น (Cold Brew) เพราะว่า เป็นการชงแบบแช่น้ำในระยะเวลานานเช่นเดียวกัน ถ้าหากผงกาแฟละเอียด จะทำให้กาแฟที่ได้ มีความเข้ม และขมจนเกินไป

  1. การบดระดับปานกลาง หรือ Medium Grind

การบดแบบความละเอียดปานกลาง จับแล้วก็จะคล้าย ๆ กับเม็ดทรายทั่ว ๆ ไป ด้วยความละเอียดเหมือนทราย จะเหมาะกับ การชงแบบดริป (Filter Brewers or Pour Over) ด้วยการชง ที่ใช้การซึมผ่านของน้ำร้อน ที่ค่อย ๆ ผ่านตัวผงกาแฟ และสกัดออกมาเป็นรสชาติ หากผงของกาแฟมีความละเอียดมาก น้ำก็จะซึมผ่านได้ช้า ก็จะทำให้กาแฟถูกสกัดตัวมากจนเกินไป 

นอกจากนี้ยังเหมาะกับ การชงแบบแอโรวเพลส (Aeropress) ที่เป็นการผสมกันระหว่าง การชงกาแฟแบบฟิลเตอร์ และเครื่องชงเอสเพรสโซ โดยใช้ลูกสูบดันน้ำผ่านตัวกรอง และกาแฟบด ซึ่งสำหรับการชงที่ไวขึ้น ก็สามารถปรับความละเอียดให้มากขึ้นได้ ในทางเดียวกัน ถ้าหากกาแฟมีความบดหยาบมากขึ้น ก็ต้องชงให้นานขึ้นด้วย

และยังเหมาะกับ การชงแบบไซฟอน (Syphon Brewer) เป็นการชงแบบแช่ไว้เช่นเดียวกัน และสามารถปรับระยะเวลา กับระดับของผงกาแฟได้ ถ้าหากกาแฟหยาบเกินไป ก็ต้องใช้ระยะเวลานานขึ้น อาจจะทำให้กาแฟที่ได้ มีรสชาติขม จนไม่อร่อยได้

  1. การบดระดับละเอียด หรือ Medium fine Grind

การบดระดับนี้ ผงกาแฟที่ได้ จะมีลักษณะเริ่มเป็นผง ป่น ไม่เป็นก้อน จับแล้วจะให้ความรู้สึกเหมือนน้ำตาลทรายขาว ซึ่งจะให้ความรู้สึกถึงเนื้อสัมผัสของผงกาแฟอยู่ ซึ่งเหมาะกับการชงโดยใช้ โมก้าพอท (Moka Pot) เป็นการชงที่ให้รสชาติที่เข้ม และขม ผงกาแฟที่เหมาะกับการชงแบบนี้ จะละเอียดเหมือนกับเกลือ เพราะ จะช่วยลดความขมของกาแฟลงได้ แต่ถ้าชอบกาแฟที่รสชาติเข้ม ก็สามารถปรับความละเอียดให้มากขึ้นได้ และการชงโดยใช้โมก้าพอท ก็ได้กลายเป็นจุดขายของหลาย ๆ ร้านกาแฟที่ใช้วิธีการนี้เลย

  1. การบดระดับละเอียดมาก หรือ Find Grind

เป็นการบดที่ พอจับเมล็ดกาแฟแล้วจะเกือบเหมือนกับการจับแป้ง ดูด้วยตาแล้ว มีขนาดเล็กกว่าน้ำตาลทรายขาว จึงเหมาะกับ การชงแบบเอสเพรสโซ (Espresso) หรือเครื่องชงกาแฟ ที่ร้านกาแฟเลือกใช้กัน เพราะ เป็นการชงแบบสกัดกาแฟอย่างรวดเร็ว โดยใช้ความร้อน และแรงดันสูง เพื่อให้ได้กาแฟที่เข้มข้น และเป็นการใช้น้ำในปริมาณน้อย กว่าการชงแบบอื่น จึงต้องใช้กาแฟที่ความละเอียดมาก เพื่อให้น้ำผ่านกาแฟได้ไวมากที่สุด

การบดกาแฟที่ละเอียดมากขึ้นเท่าไหร่ ก็จะช่วยให้กาแฟมีรสชาติที่เข้มข้นมากยิ่งขึ้น และสำหรับใครที่กังวล เกี่ยวกับความละเอียดของผงกาแฟ เคยเจอปัญหาว่ากาแฟของคุณ ไม่หอม ไม่เข้มข้น หวังว่า ข้อมูลที่เรานำมาแบ่งปันวันนี้ จะช่วยคุณได้ เพียงแค่เลือกระกับการบด ให้เหมาะสมกับวิธีการชง เท่านี้ก็จะช่วยการชงกาแฟของคุณ ให้ง่ายยิ่งขึ้น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *