เก็บเกี่ยวกาแฟ

สายพันธุ์กาแฟมีมากมายกว่า 120 สายพันธุ์ มีการคาดการณ์ว่าจะมีเพิ่มขึ้นอีกในอนาคต เมล็ดกาแฟที่เป็นที่รู้จักกันส่วนมากคือ อาราบิก้า และโรบัสต้า ครั้งก่อนเราพูดถึงกาแฟเอ็กเซลซ่ากันไปแล้ว แต่ว่าวันนี้เราจะมาพูดถึงอีกหนึ่งสายพันธุ์หลัก ที่หลายๆคนอาจเคยได้ยินมาบ้างก็คือ ลิเบอริก้า

กาแฟลิเบอริก้า (Coffea Liberica) เป็นสายพันธุ์ที่ค่อนข้างมีโดดเด่น เติบโตได้ดีในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ปัจจุบันนี้นิยมปลูกกันในประเทศมาลาเซีย และฟิลิปปินส์

แต่ที่จริงแล้วกาแฟสายพันธุ์ลิเบอริก้านั้นมาจากไหน รสชาติเป็นอย่างไร มีจุดเด่นอย่างไร สามารถเป็นกาแฟสายพันธุ์หลักได้หรือไม่ วันนี้เราจะมาทำความรู้จักกันให้มากขึ้นกัน เผื่อคุณจะสนใจ และลองหามาดื่มกัน

liberica

กาแฟ Liberica (ลิเบอริก้า) มาจากไหน?

ลิเบอริก้ามีถิ่นกำเนิดแถบทวีปแอฟริกาตะวันตก ในประเทศไลบีเลีย แต่ปัจจุบันนำปลูก และบริโภคกันอย่างแพร่หลายในทวีปเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทั้งมาเลเซีย อินโดนีเซีย เพียงแค่ประเทศฟิลิปปินส์ ประเทศเดียวก็ปลูกลิเบอริก้าเป็นสัดส่วนมากกว่า 70% ของกาแฟที่ปลูกทั้งหมดในประเทศ

การเดินทางของกาแฟสายพันธุ์ลิเบอริก้า จากไลบีเรียน่าจะผ่านทางเอธิโอเปีย ไปถึงตะวันออกกลาง และไปที่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ น่าจะมาพร้อมชาวมุสลิมที่เดินทางมาประเทศมาเลเซีย เพื่อประกอบพิธีกรรมทางศาสนาบางอย่าง

กาแฟสายพันธุ์นี้ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นมากในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 เพราะประมาณปี 1890 โรคสนิมในใบกาแฟแพร่กระจายครั้งใหญ่ในกาแฟอาราบิก้าทั่วโลก หลังจากวิกฤตครั้งนี้ทำให้ผู้คนเริ่มสนใจกันการต้านทานต่อโรค และศัตรูพืชมากขึ้น

แต่ก็มีความเป็นไปได้อีกหนึ่งอย่างก็คือชาวอาณานิคมได้นำเมล็ดกาแฟพันธุ์นี้มายังเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เมื่อตอนที่พยายามมาตั้งรกรากที่นี่ ตอนนั้นบริเวณนี้ถูกปกครองด้วยชาวดัตช์ ฝรั่งเศส และสเปน ชาวอาณานิคมนี้ มักจะนำกาแฟติดตัวมาด้วย ซึ่งส่งผลต่อพฤติกรรมการดื่มกาแฟของชาวเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ผู้ผลิตหลายรายหันมาปลูกกาแฟสายพันธุ์โรบัสต้า แต่ในประเทศฟิลิปปินส์กลับสนับสนุนให้ปลูกกาแฟสายพันธุ์ลิเบอริก้าแทน เนื่องจากการต้านทานโรคสนิมในใบ นอกจากนี้ยังมีปัจจัยการปลูกที่ง่ายกว่า ทั้งปลูกได้ในระดับความสูงที่ต่ำกว่า ทนทานต่อแมลง และศัตรูพืช หนอน หรือมอดเข้าไปชอนไชในผลของกาแฟยากกว่า เพราะเปลือก และผิวที่หนา และตึงขึ้น

เนื่องจากบริเวณเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เป็นภูมิภาคที่ไม่ใหญ่มากเดินทางได้สะดวกสบาย จึงทำให้ลิเบอริก้ากระจายไปสู่ประเทศอื่นๆได้อย่างง่ายดาย จากฟิลิปปินส์ สู่มาเลเซีย และอินโดนีเซียผ่านทางเรือ

ลักษณะของลิเบอริก้า

ลิเบอริก้าสามารถพบในป่าเขตร้อนของทวีปเเอฟริกา ต้นของลิเบอริก้ามีความแข็งแรงมาก มีการนำเข้ามาปลูกในตอนใต้ของคอสตาริกา ผลลัพธ์ก็คือสามารถเจริญเติบโตได้ดี แต่เกิดการกลายพันธุ์ตามธรรมชาติ 2 ถึง 3 ครั้ง ผลเชอร์รี่สุกของลิเบอริก้าจะมีสีเหลือง และอีกชนิดผลสุกเป็นสีชมพู

กว่าต้นลิเบอริก้าจะเริ่มออกผลต้องรอถึง 5 ปี ลำต้นเมื่อเติบโตค่อนข้างสูง บางต้นอาจสูงได้ถึง 17 เมตร ทำให้ยากต่อการเก็บผลเชอร์รี่ นอกจากนี้แล้วผล และใบยังมีขนาดใหญ่กว่าโรบัสต้า และอาราบิก้าแบบชัดเจน ใบของลิเบอริก้ากว้างได้ถึง 30 เซนติเมตร และผลเชอร์รี่มีขนาดใหญ่เกือบ 2 เท่าของกาแฟสายพันธุ์อื่นเมื่อสุกเต็มที่

อัตราส่วนระหว่างเปลือก และกะลาอยู่ที่ 60:40 ต่างจาก อัตราส่วนของกาแฟอาราบิก้า และโรบัสต้าจะอยู่ที่ 40:60 ซึ่งจะทำให้เราต้องใช้เวลาในการตากนานขึ้น และส่งผลต่อรสชาติของกาแฟอีกด้วย นอกจากนั้นแล้วลิเบอริก้ายังมีเปลือกค่อนข้างหนาจึงเกิดกระบวนการหมักแบบธรรมชาติ กาแฟจึงมีรสชาติฟรุตตี้มากขึ้น

บางคนก็บอกกันว่าลิเบอริก้ามีรสชาติคล้ายขนุน ซึ่งเป็นผลไม้เคลื่อนขึ้นชื่ออย่างหนึ่งของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แต่บางคนก็บอกว่ามีรสซิตรัส และสโตนฟรุต

เมล็ดกาแฟชนิดนี้ถ้าหากผ่านการโพรเซสแบบ Natural จะให้กลิ่น และรสของขนุนที่ละเอียดอ่อน ในทางกลับกันถ้านำไปโพรเซสแบบ Washed จะทำให้ได้กลิ่นดอกไม้ และรสชาติแบบผลไม้รสเปรี้ยวมากขึ้น หรือบางครั้งอาจได้รสดั้งเดิมแบบช็อคโกเเลตเพิ่มเติม

นอกเหนือจากนี้แล้วสิ่งที่โดดเด่นของลิเบอริก้า คือความหวานที่สม่ำเสมอ และบอดี้ที่มีความหนักแน่น หลายเสียงว่ากันว่ามีความหวานมากกว่ากาแฟอาราบิก้า อาจเป็นเพราะเมล็ดของลิเบอริก้ามีรูพรุนมากกว่าทำให้ดูดซับน้ำตาลจากเมือกของเมล็ดกาแฟได้มากขึ้นอีกด้วย

กาแฟลิเบอริก้าในปัจจุบัน

ย้อนกลับไป 20 ปีที่แล้ว ลิเบอริก้าไม่ค่อยเป็นที่รู้จักในตลาดกาแฟลูกมากนัก ส่วนใหญ่จะใช้กาแฟสำเร็จรูปเกรดธรรมดา โดยที่จะนำโรบัสต้ามาผสมกับลิเบอริก้า เพราะว่าเกษตรกรไม่มีแหล่งขาย และไม่มีผู้ซื้อ บ่อยครั้งที่เกษตรกรขายกาแฟชนิดนี้ให้กับผู้ผลิตกาแฟรายใหญ่ เช่น Nestle

แต่ในช่วงต้นศตวรรษที่ 21 มีคนกลุ่มหนึ่งได้พยายามทำให้กาแฟสายพันธุ์นี้แพร่หลายในประเทศฟิลิปปินส์ ในปี 2001-2002 มีการให้เงินทุนแก่เกษตรกรสำหรับปลูกลิเบอริก้า ซึ่งส่งผลดีเพราะ มีการปลูก และทำการทดสอบรสชาติ ผลลัพธ์คือ รสชาติของกาแฟที่ออกมานั้นยอดเยี่ยม ในตอนนั้นลิเบอริก้ามีมูลค่ามากกว่าโรบัสต้า เพราะเหตุนี้จึงทำให้เกิดความสนใจในการปลูกกาแฟสายพันธุ์นี้

นอกจากนี้แล้ว การพยายามนำเข้ากาแฟอาราบิก้า เข้าไปยังบางประเทศในทวีปเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่นฟิลิปปินส์ และมาเลเซีย มีค่าใช้จ่ายที่ค่อนข้างแพง อีกทั้งต้นลิเบอริก้าที่ปลูกในท้องถิ่นได้ดี หาได้ง่ายกว่า และราคาย่อมเยาว์กว่า ดังนั้นผู้คนส่วนใหญ่จึงเลือกที่จะปลูกกาแฟสายพันธุ์นี้

ทุกวันนี้ลิเบอริก้านับว่ามีความมั่นคงในตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มาก ส่วนหนึ่งเป็นเพราะศาสนาเนื่องจากอินโดนีเซีย และมาเลเซียส่วนใหญ่เป็นชาวมุสลิม หลังจากทำการละหมาดเสร็จ ผู้คนมักจะดื่มกาแฟเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวัน

นอกจากนี้แล้วในประเทศแถบตะวันออกกลาง ลิเบอริก้าก็ยังเป็นที่ต้องการมากเนื่องจากที่นี่มีการดื่มชายามบ่ายกัน ด้วยรสชาติของลิเบอริก้าที่มีความเป็นผลไม้ เมื่อนำไปชงแบบอ่อนๆจะมีรสชาติคล้ายกับชา ผู้คนมักดื่มคู่กับการกินอินทผาลัม และอีกสาเหตุที่ทำให้ลิเบอริก้าเป็นที่นิยมก็คือ การนำไปเป็นส่วนผสมของกาแฟเบลนด์ เพื่อให้กาแฟที่ได้ มีบอดี้มากขึ้น

ปัจจุบันทางตอนใต้ของประเทศคอสตาริก้า ได้มีการทดลองการโพรเซสแบบต่างๆอย่างหลากหลาย เพื่อให้เหมาะสมกับกาแฟสายพันธุ์นี้มากที่สุด ทั้งแบบ Natural, Washed, Honey หรือแม้กระทั่งนำไปหมักกับไวน์ หรือน้ำผึ้ง และมีวิธีอื่นๆอีกมากมาย ทำให้สามารถพัฒนารสชาติของลิเบอริก้าให้แตกต่างออกไป ซึ่งส่งผลดีต่อตัวกาแฟมาก

กาแฟลิเบอริก้า

แล้วลิเบอริก้าในอนาคตจะเป็นอย่างไร ?

เมื่อปี 2019 ทั่วโลกได้รับรู้ถึงศักยภาพของลิเบอริก้ามากขึ้น ที่บอเนียวได้จัดงาน Coffee Symposium ขึ้นเป็นครั้งแรก โดยเน้นไปที่การพูดคุยเรื่องการผลักดันลิเบอริก้า ให้มาเป็นกาแฟสายพันธุ์หลัก และยังมีการแข่งขันการคั่วกาแฟสายพันธุ์ลิเบอริก้าอีกด้วย

เช่นเดียวกันกับอาราบิก้า ลิเบอริก้าก็ได้รับการผลักดันให้มาเป็นSpecialty Coffee (กาแฟพิเศษ)หรือทำให้เป็นกาแฟคุณภาพสูง ถ้าหากทำได้จริง จะเป็นการลบภาพจำที่ค่อยดีของกาแฟชนิดนี้ได้ ไม่แน่ถ้าหากผู้ที่หลงรักกาแฟSpecialty ได้ลองดื่มลิเบอริก้าอาจจะหลงรักกาแฟชนิดนี้ก็ได้

สำหรับผู้ที่คั่วกาแฟ หรือร้านกาแฟที่เน้นการขายกาแฟแบบพิเศษ กาแฟเหล่านี้อาจเพิ่มความน่าสนใจ และความหลากหลายมากขึ้น ด้วยการปรับปรุงกาแฟ และวิธีการที่แปลกใหม่ ทำให้กาแฟมีคุณภาพที่ยอดเยี่ยมขึ้นไปด้วย

ในประเทศญี่ปุ่นเองก็หันมาให้ความสนใจกับลิเบอริก้า เนื่องจากผู้บริโภคบางส่วนเริ่มหันมาสนใจกาแฟที่มีความแปลกใหม่ หายาก และพรีเมี่ยมมากขึ้น

สำหรับเกษตรกร และผู้ผลิต การปลูกลิเบอริก้านั้น ก็มีข้อดีมากมาย เช่น สามารถต้านทานแมลงศัตรูพืช และโรคที่มากกว่า นอกจากนี้แล้วยังสามารถเติบโตท่ามกลางพืชผลอื่นๆได้ดี ทำให้ไร่กาแฟมีผลผลิตที่หลากหลาย เพิ่มความมั่นคงให้กับไร่ หรือฟาร์มของเกษตรกรมากขึ้น

การปลูกต้นลิเบอริก้าแทรกกับผลไม้อื่นๆอาจจะเป็นมะละกอ กล้วย หรือสับปะรด ผลไม้เหล่านี้จะเติบโตได้ดี ถ้าหากปลูกกับต้นกาแฟ หรือจะเป็นการปลูกพืชตระกูลเดียวกันอย่างถั่วลิสงก็ส่งผลดีไม่น้อย เพราะเป็นการช่วยตรึงไนโตรเจนในดินไว้ได้ ประโยชน์อีกอย่างของการปลูกแบบนี้จะเป็นวิธีแก้ปัญหาของการเก็บเกี่ยวกาแฟได้เพียงปีละครั้ง การมีผลผลิตอื่นๆนอกเหนือจากกาแฟจะทำให้เกษตรกรเหล่านี้ไม่ขาดรายได้จะเป็นการพยุงธุรกิจไว้ได้

นอกเหนือจากนี้แล้ว ผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศที่ทำให้หลายพื้นที่ ที่แต่เดิมเหมาะแก่การปลูกกาแฟอาราบิก้า กลายเป็นไม่สามารถปลูกได้ ทำให้เกษตรกรที่อยุ่ในพื้นที่เหล่านี้ต้องเปลี่ยนไปปลูกพืชชนิดอื่นที่ให้ผลผลิตได้มากกว่า เพราะเป็นพืชที่มีความยืดหยุ่นมากกว่า หรือแม้แต่กระทั่งต้นกาแฟโรบัสต้าเองที่ระบบรากเติบโตได้ลึก และยังเติบโตได้ในดินหลายประเภท ที่สำคัญถ้าหากเทียบกับกาแฟโรบัสต้า ก็นับว่าค่อนข้างได้ราคาดีกว่า

ถ้าหากเรานั้นต้องการผลักดันอุตสาหกรรมกาแฟให้ไปข้างหน้า ความหลากหลายของสายพันธุ์กาแฟในท้องตลาดเป็นเรื่องที่สำคัญมาก เป็นอีกก้าวสู่ความยั่งยืนในวงกว้างทั้งสำหรับตัวผู้ผลิตเอง และทั้งตัวระบบด้วย

กาแฟลิเบอริก้าเป็นกาแฟสายพันธุ์หนึ่งที่เป็นพืชที่มีความยืดหยุ่นสูง ทนทาน มีรสชาติเป็นเอกลักษณ์ เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจสำหรับผู้ผลิต และผู้บริโภค ในยุคที่กาแฟมีปัญหามากมาย และเติบโตได้ยาก นี่อาจเป็นทางออกที่ดีในการแก้ไขปัญหาเหล่านี้ แต่ก็ยังคงต้องรอดูต่อไปว่าลิเบอริก้าจะสามารถเติบโตขึ้นได้มากน้อยแค่ไหนในตลาดกาแฟในอนาคต

ที่มา

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *