มาทำความรู้จักสายพันธุ์กาแฟหลัก (Coffee Varieties) ค้นหารสชาติที่ตรงใจของคุณ กาแฟ ผลผลิตทางการเกษตรที่มีการส่งออกเป็นลำดับต้นๆของโลก กาแฟคุณภาพจะมีกลิ่นหอม รสสัมผัสชัดเจน และให้ความกลมกล่อม ถ้าหากให้คุณนึกถึงสายพันธุ์กาแฟก็อาจจะนึกถึง กาแฟอาราบิก้า ที่เป็นชื่อที่คุ้นหูที่สุด และได้รับความนิยมในบ้านเราเป็นอันดับหนึ่ง
แต่ที่จริงแล้วสายพันธุ์กาแฟที่นิยมนำมาบริโภคมากที่สุด จะมีด้วยกันอยู่ 4 สายพันธุ์ ได้แก่ อาราบิก้า (Arabica), โรบัสต้า (Canephora), เอ็กซ์เซลซ่า (Excelsa) และลิเบอริก้า (Liberica)
4 สายพันธุ์กาแฟหลักที่คอกาแฟควรรู้จัก
สายพันธุ์อาราบิก้า (Arabica)
เมล็ดกาแฟอาราบิก้า เป็นกาแฟชนิดหนึ่งที่ได้รับความนิยมมากที่สุดอันดับหนึ่งถึงร้อยละ 80 คนไทยจะนิยมดื่มกาแฟอาราบิก้ากันมากที่สุด ซึ่งเป็นกาแฟแบบดั้งเดิม และมีความเชื่อกันว่าเป็นหนึ่งในสายพันธุ์แรกๆที่ปลูกโดยใช้ราก มาตั้งแต่ก่อน 1,000 ปี ก่อนคริสตกาล ทั่วไปนั้นกาแฟจะมีรูปร่างเป็นวงรี มีรอบจีบตรงกลางชัดเจน และเมล็ดกาแฟอาราบิก้ามีขนาดใหญ่เมล็ดกาแฟโรบัสต้า
นักดื่มกาแฟหลายคนต่างนิยม ชื่นชอบ เมล็ดกาแฟสายพันธุ์นี้ เพราะขึ้นชื่อเรื่องรสชาติที่ซับซ้อน มีกลิ่นหอม ให้ความรู้สึกสดชื่น มักจะมีรสชาติที่ หวาน อบอวล ละมุน และมีหลายมิติกว่าด้วยโทนของผลไม้ ดอกไม้ ช็อกโกแลต และถั่ว แม้ว่าจะมีความเป็นกรดสูงกว่าก็ตาม อีกทั้งมีปริมาณคาเฟอีนที่ไม่สูงมาก (1.1-1.7 เปอร์เซ็นต์) ทำให้ดื่มง่ายกว่ากาแฟชนิดอื่นๆ
นอกจากนั้นแล้ว เมล็ดกาแฟอาราบิก้ายังมีราคาสูงกว่าเมล็ดกาแฟโรบัสต้า เนื่องจากมีความซับซ้อนที่มากกว่า อีกทั้งยังมีข้อกำหนดในการเพาะปลูกที่เฉพาะ เช่น สภาพอากาศ และระดับความสูงในการเจริญเติบโต ซึ่งโดยปกติแล้วนั้น เมล็ดกาแฟอาราบิก้าจะปลูกที่ระดับความสูงระหว่าง 500 เมตร ถึง 2,500 เมตร และกาแฟอาราบิก้า
ปัจจุบันแถบลาตินอเมริกา โดยเฉพาะประเทศบราซิล เป็นผู้ผลิตกาแฟอาราบิก้ารายใหญที่สุดในโลก ส่วนในประเทศไทยนั้น เพาะปลูกต้นกาแฟได้ในพื้นที่สภาพอากาศเย็น และสูง โดยจะปลูกในพื้นที่ภาคเหนือ เช่น เชียงราย เชียงใหม่ ตาก น่าน แม่ฮ่องสอน และลำปาง เป็นต้น และผลิตได้ประมาณ 1,000 เมตรต่อปี
สายพันธุ์โรบัสต้า (Canephora)
เมล็ดกาแฟโรบัสต้า ได้รับความนิยมรองลงมาจากอาราบิก้า โดยปกตินั้นกาแฟโรบัสต้าเหมาะสำหรับคอกาแฟที่ชอบความเข้มข้น ขม และไม่ค่อยติดเปรี้ยว บอดี้หนักแน่น ระดับน้ำตาล และความเป็นกรดต่ำ รสชาติจึงค่อนข้างฝาดเป็นพันธุ์ที่มีปริมาณคาเฟอีนที่สูง (2 – 4.5 เปอร์เซ็นต์) สำหรับใครที่ไม่ชิน พอดื่มแล้วอาจจะมีอาการเวียนหัวได้ จึงนิยมนำไปทำกาแฟสำเร็จรูป
โรบัสต้าสามารถปลูกในที่ที่ปลูกอาราบิก้าไม่ได้ คำว่า Robust (โรบัส) ในภาษาอังกฤษแปลว่าทนทาน ด้วยเพราะ ความทนทานมากกว่า จึงทำให้กาแฟโรบัสต้ามีราคาถูกกว่า
แต่ผู้คนกลับไม่นิยมดื่มกันมากนัก เนื่องจากรสชาติที่หวาน้อยกว่า ซึ่งจะถูกปลูกในแอฟริกา เวียดนาม อินโดนีเซีย ส่วนโรบัสต้าที่มีคุณภาพดี มักถูกนำไปเป็นส่วนผสมยอดนิยมของเอสเพรสโซ่ เพราะ มีรสชาติที่นุ่มลึก และเข้มข้นกว่า กาแฟโรบัสต้านั้นจะให้กลิ่นโทนไม้ หรือยางไหม้
ต้นกาแฟโรบัสต้าจะปลูกที่ระดับความสูงไม่เกิน 1,000 เมตร และยังให้ผลผลิตที่เร็วกว่าอาราบิก้าที่ต้องใช้เวลานานหลายปีกว่าผลจะแก่ อีกทั้งยังออกผลต่อต้นน้อยกว่า นอกจากนั้นแล้วยังเสี่ยงต่อศัตรูพืช และสภาพอากาศน้อยกว่า และนี่คือสาเหตุที่สำคัญว่าทำไมกาแฟโรบัสต้าถึงถูกกว่า เมล็ดาแฟโรบัสต้าจะมีขนาดเล็ก และกลมมนกว่ากาแฟอาราบิก้า มีสีอ่อนกว่า และรอยจีบตรงกลางไม่เด่นชัด และเส้นผ่าตรงกลางตรง
การเพาะปลูกโรบัสต้านั้น แทบตรงข้ามกับอาราบิก้า เพราะต้องการความชื้นที่ค่อนข้างสูง และพื้นที่ต่ำ ในประเทศไทยจึงนิยมปลูกกันที่ภาคใต้ เช่น สุราษฏร์ธานี ชุมพร และนครศรีธรรมราช และยังสามารถให้ผลผลิตได้มากถึง 70,000 ต้นต่อปี
กาแฟอาราบิก้ามักมีชื่อเรียกแตกต่างกัน ตามชื่อท่าเรือที่ใช้ส่งออก ท่าเรือที่เก่าแก่ที่สุดสองที่ ได้แก่ ม็อคค่า (Mocha) และชวา (Java) ในปัจจุบันนั้นยิ่งมีความเจาะจงในสถานที่ปลูกมากขึ้นเรื่อยๆต้องมีการระบุถึงประเทศ ภูมิภาค และบางครั้งก็ต้องระบุพื้นที่บริเวณที่ปลูก
ผู้เชี่ยวชาญเรื่องกาแฟอาจจะถึงขั้นต้องมีการประมูลกาแฟกัน โดยดูกันที่ล็อตหมายเลขเท่าใด ส่วนกาแฟโรบัสต้าที่มีมูลค่าสูงที่สุด ได้แก่ โกปิ ลูวัค (kopi Luwak) ของอินโดนีเซีย เนื่องจากเมล็ดกาแฟชนิดนี้ถูกเก็บขึ้นมาจากมูลของชะมด (Common Palm Civet ตระกูล Paradoxirus) ซึ่งกระบวนการย่อยภายในร่างกายของชะมดนั้น ทำให้ได้รสชาติที่ดีเป็นพิเศษ ภาษาไทยเรียกกันว่า กาแฟขี้ชะมด
สายพันธุ์เอ็กซ์เซลซ่า (Excelsa)
เมล็ดกาแฟเอ็กซ์เซลซ่า สายพันธุ์ที่หลายๆคนอาจจะไม่ค่อยคุ้นหูกันมากนัก เมล็ดกาแฟสายพันธุ์นี้กำเนิดขึ้นในทวีปแอฟริกา ค้นพบครั้งแรกที่เอธิโอเปีย และเยเมน โดยลักษณะเมล็ดคล้ายๆกับกาแฟโรบัสต้า กาแฟสายพันธุ์นี้ได้รับความนิยมในแอฟริกา แต่ในประเทศอื่นๆไม่ค่อยเป็นที่นิยมมากนัก เนื่องจากรสชาติที่เข้มข้นจนถึงขมกันเลยทีเดียว แต่ว่าชาวแอฟริกันสามารถดื่มกาแฟสายพันธุ์เอ็กซ์เซลซ่าได้ตลอดทั้งวัน
สายพันธุ์เอ็กซ์เซลซ่านั้นมีความพิเศษ คือ ปลูกง่าย ดูแลรักษาง่าย อดทนต่อความแห้งแล้ง ทนโรคที่เกิดจากต้นกาแฟ อีกทั้งยังทนต่อสภาพอากาศ นอกจากนี้ยังให้ผลผลิตที่สูง
สายพันธุ์ลิเบอริก้า (Liberica)
เมล็ดกาแฟลิเบอริก้า มีชื่อเรียกกันว่า “กาแฟใบใหญ่” ลักษณะของใบจะมีขนาดใหญ่กว่ากาแฟพันธุ์อื่นๆเติบโตได้ดีในสภาพอากาศที่ร้อน และชื้น มีน้ำชุ่มๆ อีกหนึ่งสายพันธุ์ที่ไม่ค่อยได้รับความนิยมในตลาดโลกมากนัก เพียงแค่ 1-2 เปอร์เซ็นต์ของกาแฟโลก
ลิเบอริก้ามีถิ่นกำเนิดที่ไอวอรีโคสต์ และไลบีเรีย ปัจจุบันกาแฟลิเบอริก้าปลูกกันมากที่ประเทศมาเลเซียถึง 90-95 เปอร์เซ็นต์ของพื้นที่ปลูก
ลิเบอริก้ารสชาติใกล้เคียงกับอาราบิก้าแต่มีรสเปรี้ยวอมหวานของผลเบอรร์รี่มากกว่า นิยมไปผสม กับกาแฟชิดอื่น เพื่อที่จะเพิ่มความเข้มข้น และมีเอกลักษณ์ แม้หลายๆคนจะบอกว่า เป็นกาแฟที่มีคุณภาพต่ำกว่ากาแฟพันธุ์อื่นๆแต่กลับได้รับความนิยมในหลายประเทศแถบสแกนดิเนเวีย
หลังจากที่รู้จักสายพันธุ์กาแฟหลักแต่ละชนิดแล้ว หลายๆคนคงจะมีคำตอบในใจแล้วว่าเมล็ดกาแฟแบบไหน เหมาะกับตัวเอง นากจากนั้นยังมี “ระดับการคั่ว (Roast)” รวมถึง “ปัจจัยแตร์รัว (Terrior)” สภาพแวดล้อมของพื้นที่เพาะปลูก หมายถึง ภูมิอากาศ ดิน ความลาดชัน และทุกสิ่งในสภาพแวดล้อมที่เพาะปลูกกาแฟ ล้วนส่งผลต่อปัจจัยที่ส่งผลต่อรสชาติ และกลิ่นของกาแฟอีกด้วย