วิธีการชงกาแฟ เป็นเรื่องหนึ่งที่น่าสนใจ ในหมู่ของคอกาแฟ และผู้สนใจเกี่ยวกับกาแฟ เป็นเรื่องที่รู้กันอยู่แล้วว่า กาแฟ กลายเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับใครหลาย ๆ คน หากไม่ได้ดื่ม ก็จะรู้สึกง่วง ไม่มีแรง จึงต้องแวะซื้อก่อนไปทำงานกัน จึงทำให้กาแฟ กลายเป็นเครื่องดื่มยอดนิยม ด้วยความนิยมนี้ ทำให้มีผู้สนใจเปิดร้านกาแฟมากขึ้นตามไปด้วยเช่นเดียวกัน

สำหรับเจ้าของร้านกาแฟ หรือผู้คนโดยทั่วไป อาจจะไม่ค่อยรู้กันว่า การชงกาแฟนั้นมีหลากหลายวิธี นอกจากการใช้เครื่องชงกาแฟเอสเปรสโซ ซึ่งวิธีการชงกาแฟ แต่ละแบบก็จะให้รสชาติที่แตกต่างกันออกไป

วิธีการชงกาแฟ ที่ให้ผลลัพธ์ที่แตกต่างกัน

Espresso Machine

เกิดขึ้นจากสิ่งประดิษฐ์ของ อันเจโล โมริออนโด ในปี ค.ศ. 1884 และได้มีคนมาสานต่อ คือ ลุยจีเบซเซรา นักประดิษฐ์ชาวอิตาลี และพัฒนาจนกลายเป็นทางเลือกหนึ่งในการชงกาแฟ ที่ได้รับความนิยมในเวลาต่อมา

ถือว่าเป็นวิธีที่เราพบเห็นได้ทั่วไปในชีวิตประจำวัน ตามร้านกาแฟต่าง ๆ สำหรับวิธีการนี้ จะเป็นการใช้เครื่องชงกาแฟ Espresso Machine โดยใช้น้ำร้อน หรือแรงอัดไอน้ำผ่านเมล็ดกาแฟคั่ว และบดละเอียด คือการใช้น้ำ ให้น้อยที่สุด จึงทำให้ได้กลิ่นหอมกาแฟแบบชัดเจน และได้รสชาติกาแฟที่เข้มข้น จึงได้กลายเป็นวิธีการชงกาแฟที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก

Moka Pot 

โมก้าพ็อต คือเครื่องชงกาแฟที่ถูกคิดค้นโดย ลุยจี เดอ ปอนติ ชาวอิตาลี ซึ่งได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก ในหมู่คอกาแฟที่ชอบกาแฟรสชาติแบบเข้มข้น โมก้าพ็อต ทำจากสเเตนเลส มีลักษณะเป็นกาทรงสูง สวยงาม มีเอกลักษณ์ ได้รับความนิยมในแถบลาตินอเมริกา และลาตินอเมริกา

โดยวิธีการชง ก็คือเริ่มต้นจาก ใส่น้ำลงในตัวหม้อ ให้ถึงในระดับที่ขีดเอาไว้ ใส่กรวยกาแฟลงไปบนปากหม้อ และตามด้วยกาแฟที่บดละเอียดแล้ว หลังจากนั้นให้นำไปต้มบนเตา จนน้ำร้อนได้ที่ และมีไอน้ำดันให้พุ่งขึ้นผ่านกาแฟ แล้วปิดเตา น้ำเปล่าข้างล่างที่ดันขึ้นมาอยู่บนกาด้านบน ก็ได้กาแฟพร้อมดื่มแล้ว

French Press

เป็นกาแฟ ที่วิธีการชงไม่ได้ต่างจากแอโรเพรสมากนัก ในแง่ของการใช้แรงดันอากาศในการชงกาแฟ โดยเครื่องเฟรนช์เพรส รูปร่างเป็นกาสูง ใส่เมล็ดกาแฟที่บดแล้วลงไป จากนั้นเติมน้ำร้อนตามลงไป ที่ใช้แค่น้ำร้อน กับกาแฟบดโดยตรง เพื่อที่จะทำให้ได้กาแฟสดแบบจริง ๆ รสชาติดี มีกลิ่นกาแฟที่สดชื่น แต่วิธีการใช้ชงกาแฟแบบนี้ ต้องเลือกใช้กาแฟที่บดมาแบบหยาบ เพื่อไม่ให้เมล็ดกาแฟหลุดผ่านตัวกรอง

Drip

การชงกาแฟแบบดริป ถือว่าเป็นวิธีการชงกาแฟที่ครองใจสายสโลว์ไลฟ์ นอกจากรู้จักกันในชื่อ วิธีการดริปกาแฟ ก็มีอีกชื่อว่า Pour – Over -Coffee หรือ Brewed Coffee เริ่มต้นเมื่อประมาณ ค.ศ. 1908 โดย เอมิลี ออกกุสต์ เมลิตทา เบนซ์ ชาวเยอรมัน ผู้ที่คิดค้นกระดาษกรองกาแฟ หรือ Coffee Filter เพราะในช่วงนั้นการชงกาแฟแบบเอสเพรสโซ ยังไม่สามารถที่จะแยกกากได้ดีเท่าที่ควร ทำให้วิธีการชงกาแฟแบบดริป แพร่หลายไปทั่วโลก

ปัจจุบันนี้ คอกาแฟหลายคน ก็เริ่มหันมาดื่มกาแฟแบบดริปกันมากขึ้น เพราะใช้เวลาในการชงที่ไม่นานมากนัก ใช้งานง่าย และราคาที่เข้าถึงได้ เป็นการชงกาแฟโดยผ่านกระดาษกรอง ใช้น้ำร้อนประมาณ 80 องศาเซลเซียส ส่วนการเทน้ำร้อนนั้น จะขึ้นอยู่กับความเร็ว และเทคนิค โดยปกติ จะค่อย ๆ เทน้ำร้อนเป็นวงกลมก้นหอย บนกาแฟบด ให้ค่อย ๆ ไหลผ่านกระดาษกรอง และรอให้กาแฟหยดลงมาที่ภาชนะรองรับ ซึ่งวิธีการชงกาแฟนี้จะได้รสชาติกลาง ๆ ไม่เข้มมาก คนที่ชอบกาแฟแบบเข้ม ๆ เลยมักจะบอกว่ากาแฟดริปรสชาติอ่อนไป

Cold Drip

วิธีการดริปเย็นนี้ ยังไม่มีหลักฐานบอกอย่างแน่ชัดว่ามีต้นกำเนิดจากไหน แต่ผู้รู้เรื่องกาแฟหลาย ๆ คน เห็นพ้องต้องกันว่า น่าจะเกิดขึ้นในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่มีลักษณะภูมิอากาศแบบร้อนชื้น จึงคิดค้นวิธีการดื่มกาแฟแบบเย็นขึ้นมาแทน

การดริปกาแฟแบบเย็น ไม่ต่างจากกาแฟดริปปกติเท่าไหร่นัก แค่ใช้น้ำเย็นมาแทนที่ และใช้อุปกรณ์ที่มีลักษณะคล้าย ๆ กับอุปกรณ์ในห้องแล็ปวิทยาศาสตร์ มีลักษณะเป็นทาวเวอร์ 3 ชั้น ประกอบด้วย โหลใส่น้ำก้นเล็ก ประกอบกับวาล์วปล่อยน้ำ เป็นหยดลงมาในส่วนของโหลก้นเปิดของชั้นกลาง ที่มีเมล็ดกาแฟบด และตัวกรองรองอยู่ ให้น้ำหยดไหลผ่านกาแฟไปยังภาชนะที่รองรับอยู่ข้างล่าง โดยใช้เวลาทั้งหมดในการชงกาแฟวิธีนี้ประมาณ 4-5 ชั่วโมง ขึ้นอยู่กับปริมาณน้ำ ข้อดีของกาแฟดริปแบบเย็นก็คือ กรดจะอ่อนกว่าชนิดอื่น ๆ

Cold Brew

กาแฟสกัดเย็น มีจุดเริ่มต้นประมาณ ปี 1600 เป็นยุคที่กาแฟดัตซ์ ได้รับความนิยมกันไปทั่วโลก เหล่าพ่อค้าได้ค้นหาวิธีการนำกาแฟ ไปทำเป็นแบบพร้อมดื่มบนเรือ โดยที่กาแฟจะไม่เสีย แต่ในทวีปเอเชีย กาแฟสกัดเย็นก็ได้เข้าไปสู่ประเทศญี่ปุ่น เป็นประเทศแรก และรู้จักกันในชื่อ Kyoto Coffee 

การชงกาแฟวิธีนี้ เป็นการชงที่ง่าย ไม่ได้ซับซ้อน แต่ต้องใช้เวลานานกว่าจะได้กาแฟรสชาติดีมาดื่ม ซึ่งวิธีการชง หรือสกัดด้วยน้ำที่มีอุญหภูมิต่ำ เริ่มจากนำเมล็ดกาแฟที่บดแล้วลงไปในโหล แล้วเทน้ำเย็นลงไปตาม จากนั้น ปิดฝาโหลทิ้งไว้ข้ามคืน หรือนำขวดโหลไปแช่ในตู้เย็นก็ได้เช่นเดียวกัน ในวันถัดมา จะต้องนำกาแฟที่ได้มากรองด้วยกระดาษกรอง แยกกาแฟออก แต่ในปัจจุบันนี้ สามารถหาดื่มได้ง่ายขึ้นแล้ว เพราะมีร้านกาแฟหลาย ๆ ร้านได้ทำมาขายกันแล้ว

Siphon

รู้จักกันในอีกชื่อก็คือ Vacuum Coffee การชงกาแฟโดยใช้สูญญากาศ ว่ากันว่าถูกคิดค้นในกรุงเบอร์ลิน ประมาณปี ค.ศ. 1830 แต่ก็มีคนกล่าวว่า วิธีการชงกาแฟแบบไซฟอน เกิดขึ้นในประเทศญี่ปุ่น โดย อะกิระ โคโนะ ในปี ค.ศ. 1840 แต่ว่าอย่างไรก็ตาม การชงกาแฟวิธีนี้ ก็ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย ไม่แพ้กับวิธีการอื่น ๆ เลย

ด้วยอุปกรณ์การชงกาแฟแบบไซฟอน ทำให้เหมือนได้ย้อนเวลากลับไปเรียนวิทยาศาสตร์ที่โรงเรียน เหมือนตอนมัธยม การชงกาแฟแบบนี้จึงดูน่าตื่นตาตื่นใจที่สุด ในวิธีการชงกาแฟทั้งหมด วิธีการชงก็คือ ต้มน้ำให้เดือดจัด ในโถลูกแก้ว ด้วยตะเกียงแอลกอฮอลล์ ใส่เมล็ดกาแฟบดแล้วลงในขวดแก้วทรงกระบอก ที่ตรงก้นแก้วมีตัวกรองอยู่ ประกอบโถกาแฟเข้ากับตัวก้านของเครื่อง และโถน้ำ น้ำที่เดือด จะมีแรงดันทำให้ถูกผลักขึ้นไป บนโถกาแฟทรงกระบอก คล้าย ๆ กับวิธีการกาลักน้ำ และเมื่อดับไฟที่ตะเกียง กาแฟจากโถทรงกระบอก ก็จะไหลลงสู่โถที่เป็นลูกแก้ว และพร้อมดื่ม ข้อดีของการชงวิธีนี้ก็คือ มีกลิ่นหอมที่ชัดเจนมาก แต่ระดับความเข้มข้นบางเบามาก ถ้าเทียบกับเอสเพรสโซ

Aeropress

เริ่มต้นกันในปี ค.ศ. 2005 โดยนักฟิสิกส์ ชื่อว่า อลัน แอดเลอร์ (Alan Adler) ผู้คิดค้นเครื่องทำกาแฟ ที่มีลักษณะเป็นท่อ 2 ชิ้น ประกอบกัน ลักษณะเหมือนไซริงก์ เรียกกันว่า แอโรเพรส ซึ่งรสชาติของกาแฟที่ได้ออกมา จะเข้มข้นใกล้เคียงกับวิธีการชงแบบเอสเพรสโซ

เมล็ดกาแฟที่ผ่านการตวง และบดแล้ว ถูกใส่ลงในท่อบน แล้วรินน้ำร้อนตามลงไป ตามด้วยใช้ด้ามคน และปิดท่อด้วยกระดาษกรอง กับฝาที่ลักษณะคล้ายกับตะแกรง พอได้ถึงเวลา ก็จับท่อบน และพลิกใส่แก้ว แล้วกดท่อลงมา คล้าย ๆ กับการฉีดยา เพื่อรินกาแฟ ซึ่งเห็นได้ชัดเลยว่า มีแรงดันอากาศเข้ามาเกี่ยวข้อง ข้อดีของวิธีการแอโรเพรส คือการพกพาสะดวก อุปกรณ์เกือบทั้งหมด ทำมาจากพลาสติก ถ้าไปเที่ยวนาน ๆ แล้วอยากชงกาแฟเอง สามารถนำอุปกรณ์ไปได้เลย

Nitro Cold Brew

กาแฟ กับเบียร์ ก็เหมือนพี่น้องต่างสายเลือดกัน มักจะมีส่วนเกี่ยวข้องกันอยู่เสมอ ๆ ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง อย่าง Coffee Stout ในคราฟต์เบียร์ ที่มีกาแฟเป็นตัวชูโรง และเพิ่มความเข้มข้นแปลกใหม่ในบอดี้ ส่วน Nitro Cold Brew ได้รับความนิยมเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา ทั้งในหมู่คอกาแฟ และหมู่นักดื่มที่ชื่นชอบความแปลกใหม่

จริง ๆ แล้วกาแฟไนโตร ก็คล้าย ๆ กับกาแฟสกัดเย็น แต่จะทำในปริมาณที่มากกว่าหลายเท่า จากนั้นจึงอัดไนโตรเจนเข้าไป คล้ายกับเบียร์ ทำให้กาแฟมีฟองที่นุ่มเหมือนฟองเบียร์ ส่วนวิธีการเสิร์ฟนั้น ถอดแบบมาจากการคราฟต์เบียร์ ก็คือการเปิดแท็ป และรินใส่แก้ว กาแฟไนโตร เหมาะกับผู้ที่ชอบดื่มเบียร์สด และกาแฟ เพราะการทำกาแฟแบบนี้ จะช่วยดึงรสชาติ และกลิ่นหอมของเมล็ดกาแฟออกมานำเสนอ เสิร์ฟแบบมีเท็กซ์เจอร์เป็นฟองนุ่ม ๆ คล้าย ๆ กับเบียร์ ที่ไม่มีแอลกอฮอลล์ การทำกาแฟไนโตร เป็นวิธีที่ยุ่งยากในเรื่องการอัดแก๊สเข้าไป จึงไม่แนะนำให้ทำดื่มเองที่บ้าน 

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *